泰国众议院投票通过《平权法》,东南亚首个支持婚姻平等的国家

小能 0 2024-08-14

历经23年,终于有一部《婚姻平权法》让“所有性别”平等!

 

内容提要:
27 มีนา สภามีมติ เห็นด้วย 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านสภาแล้ว


ย้อนรอย 23 ปี การเดินทางกว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผ่านมาคือบริบทสังคมและการเมืองไทย ที่มีผลอย่างมากต่อการเดินทางครั้งนี้


สาระสำคัญของ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เช่น การแก้ไขคำจากระบุเพศชาย-หญิง เป็น บุคคล ผู้หมั้น ผู้รับหมั้น และคู่สมรส และยังมีการแก้ไขอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมกับทุกเพศ

---------------------------------------
27 มีนาคม 2567 วันที่ต้องบันทึกลงประวัติศาสตร์ไทย เพราะถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทย ที่สภาไทยแก้ไขกฎหมายให้ทุกเพศสมรสกันได้

วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เป็นการขยายสิทธิการสมรสให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ ที่ประชุมสภา มีมติ เห็นด้วย 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง 

 

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่ได้เพิ่งมีในยุคนี้ เพราะจริงๆ แล้วในอดีต ทั้งภาคประชาชนและภาคการเมือง พยายามผลักดันมาตลอด แต่เนื่องจากบริบทสังคมในแต่ละยุคมีความแตกต่างกัน จึงไม่สำเสร็จ จนมาถึงปี 2567 ไม่ว่าเพศใดก็ใกล้จะสามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมายแล้วในประเทศไทย

เราจะพาย้อนรอย 23 ปี เส้นทางสู่การสมรสเท่าเทียม ในแต่ละยุคมีความพยายามขับเคลื่อนประเด็นนี้อย่างไร และทำไมจึงต้องยุติไป พร้อมดูรายละเอียดสำคัญของ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ว่ามีการแก้ไขประเด็นสำคัญใดบ้าง 

 

23 ปี เส้นทางสมรสเท่าเทียม

ปี 2544 รัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสสังคมต่อต้าน ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงมองเห็นว่าสังคมไม่พร้อม เรื่องนี้จึงตกไป

ปี 2555 มีคู่รักเพศหลากหลายต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธ จึงได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง 

ปี 2556 ในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความพยายามให้มีกฎหมายรับรองคู่รัก เพศเดียวกันอีกครั้ง ตามข้อเสนอของประชาชน มีการยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเพื่อให้ผ่านการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ครอบคลุมสิทธิประโยชน์และสวัสดิการเท่ากับ คู่รักชาย-หญิง 

ในปี 2557 เกิดรัฐประหาร การผลักดันร่าง พ.ร.บ. จึงยุติลง

ปี 2563-2566 ในรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนและพรรคการเมือง ขณะเดียวกันกระแสทั่วโลกที่พัฒนาเรื่อง ‘สมรสเท่าเทียม’ ตามหลักความเท่าเทียมก็ชัดเจนมากขึ้น ความหลากหลายทางเพศเป็นประเด็นด้านสิทธิที่สำคัญ และสังคมไทยในปัจจุบันมีการพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างกว้างขวาง 

พรรคก้าวไกล โดย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ เสนอ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ต่อสภาฯ และได้รับการถูกบรรจุวาระแรกในปี 2565 ซึ่งรัฐบาลเองก็จัดทำกฎหมายอีกฉบับมาประกบ คือ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต หน่วยงานเจ้าภาพคือกระทรวงยุติธรรม ที่มี สมศักดิ์ เทพสุทิน สังกัดพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 

แม้ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมจะผ่านวาระแรกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกค้างในสภาฯ ไม่สามารถพิจารณาได้ครบ 3 วาระ เนื่องจากปัญหาสภาล่มบ่อยและถูกวาระแทรกวาระ

หลังมีรัฐบาลใหม่ วันที่ 21 ธันวาคม 2566 ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมถูกหยิบยกเข้าสภาฯ อีกครั้ง 

โดยสภาฯ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จำนวน 39 คน เพื่อพิจารณาศึกษารายละเอียดข้อกฎหมายทั้งหมด โดยวันที่ 27 มีนาคม มีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 สภาพิจารณาร่างพ.ร.บ.สมสรเท่าเทียม ที่กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว ที่ประชุมสภา มีมติ เห็นด้วย 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง

จากนี้ต้องรอดูว่าด่านถัดไปคือ สว. ที่ในอดีตก็มีการแก้ไขบางมาตรา หรือไม่ให้ผ่านก็ได้ ซึ่งหากไม่ให้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ก็จะถูกตีกลับมายังสภาฯ เพื่อให้มีการเอากลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง 

  

กฎสมรสเท่าเทียม แก้อะไรบ้าง 

กฎหมายการสมรสที่ใช้ในปัจจุบัน มีรายละเอียดอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ซึ่งระบุว่า "การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 บริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้"

พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีการแก้ไขหลายจุด หลักๆ จะมีการแก้ไขคำระบุเพศ เปลี่ยนเป็นใช้คำอื่น เช่น แก้คำว่า ชาย-หญิง สามี-ภริยา และสามีภริยา เป็นบุคคล ผู้หมั้น ผู้รับหมั้น และคู่สมรส เพื่อให้มีความหมายครอบคลุมคู่หมั้นหรือคู่สมรสไม่ว่าจะเป็นเพศใด โดยจะแก้ไขจาก หมวด 3 ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส และแก้ หมวด 4 ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา เป็น ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ทำให้คำในหมวดเหล่านี้เปลี่ยนเป็นคู่สมรสที่ไม่ระบุเพศ 

 

แม้จะมีการแก้ไขสิทธิและรายละเอียดในแต่ละมาตราบ้าง ทำให้ทุกเพศเมื่อแต่งงานมีสิทธิเท่ากัน แต่การเรียกร้องให้มีการสมรสเท่าเทียม ไม่ใช่แค่เรียกร้องให้คนทุกเพศสามารถแต่งงานกันได้เท่านั้น เพราะสิ่งที่สังคมต้องการยังมีเรื่องของสิทธิด้านอื่นๆ ที่ต้องการให้เท่ากันเช่นกัน 

แม้การเปลี่ยนความหมายของคำว่าคู่สมรส จะทำให้ ‘ทุกเพศ’ สมรสกันได้ แต่หลังจากสมรสแล้ว ถัดไปคือเรื่องครอบครัว ซึ่งในประชุมสภาวันนี้มีการถกเถียงกันในมาตราที่สำคัญคือ มาตรา 59 หมวดบิดา มารดา และบุตร ที่ไม่มีการแก้ไข แต่ กมธ.เสียงข้างน้อย ได้ขอสงวนแก้ไขมาตราดังกล่าว 

โดย ภาคภูมิ พันธวงค์ หนึ่งใน กมธ.ภาคประชาชน ขอให้เสนอเพิ่มคำว่า ‘บุพการีลำดับแรก’ โดยปัจจุบันร่างหลักยังคงใช้ บิดา มารดา ไม่ใช้ บุพการี ทั้งที่ไม่ได้ลิดรอนสิทธิแต่อย่างไร แต่เป็นการขยายสิทธิให้เกียรติครอบครัวที่มีความหลากหลาย 

“เข้าใจว่าการโหวตนี้มีแนวโน้มในทางมารยาทการเมือง แต่นี่คือการโหวตเพื่อยืนยันการมีอยู่ของคู่สมรสเพศหลากหลายทุกคน การโหวตครั้งนี้คู่สมรส LGBTQI ทุกคนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เนื่องด้วยคำว่า บิดา และมารดา และการยกมือครั้งนี้คือประวัติศาสตร์ในการผลักดันสมรสเท่าเทียมให้เท่าเทียมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำพูดที่สวยหรู

----------------
พวกเราไม่ได้ขอความเมตตา แต่มาพูดเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ ให้มองเห็นคู่สมรสเพศหลากหลายที่ยังไม่ถูกรองรับสถานะทางกฎหมาย วันนี้จึงขอให้เพิ่มโดยใช้คำว่า ‘บุพการีลำดับแรก’ เพื่อความเป็นกลางทางเพศและเคารพครอบครัวเพศหลากหลาย โดยไม่กระทบสิทธิคำว่า บิดา มารดา แต่อย่างใด

----------------- 

ด้าน กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า หากเพิ่มคำว่าบุพการีลำดับแรก จำเป็นต้องรื้อกฎหมายที่มีอยู่ทั้งประเทศไทยที่มีคำว่า บิดา มารดา โดยเติมคำว่าบุพการีลำดับแรกไปทุกฉบับ ซึ่งจะมีผลกระทบที่รุนแรงพอสมควร ฉะนั้น กมธ.เสียงข้างมากจึงไม่เห็นด้วยกับข้อสงวนของ กมธ.เสียงข้างน้อย 

กมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายแนวทางของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวว่า แก้ไขกฎหมายฉบับที่จำเป็นจะต้องแก้เพื่อให้รองรับสิทธิต่างๆ เช่น กฎหมายการรับบุตรบุญธรรม กฎหมายคุ้มครองเด็ก ซึ่งจะเป็นการแก้ที่ตรงจุดกับที่ กมธ.เสียงข้างน้อยอภิปรายถึงปัญหา และจะไม่เกิดปัญหาที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ การเพิ่มเหตุเรียกค่าทดแทนและเหตุฟ้องหย่าให้ครอบคลุมให้สอดคล้องกับลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเพศเดียวกัน

แก้ไขอายุบุคคลที่จะหมั้นทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ จากเดิม 17 ปี ส่วนการสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว จากเดิม 17 ปี แต่ในกรณีมีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้ โดยแก้เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 

 

虽然现在还没有最终定论是否能成型,后续还需经过参议院和国王的同意,但这样的推动,可以说是人类历史的大进步,此次修改,泰国真的获得好感无数!

 

明星粉丝齐聚一堂,三台台庆足球赛“掀翻”泰国娱乐圈!
Aff宣传新剧《婚姻战争》,评论区观众吹爆
相关文章